สำนักงาน Facebook หรือจะเรียกว่า Facebook Office ก็ได้นะสำหรับที่สิงคโปร์จะแตกต่างกับที่เกษรบ้านเราตรงที่สาขานี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางภูมิภาคเรา ลากยาวลงไปถึงออสเตเรียโน่นโดยจะมีเจ้าหน้าที่ดูแล User หรือจะเรียกว่าลูกค้าน่าจะดีกว่าของแต่ละประเทศๆไป ยกตัวอย่างประเทศไทยเราก็ใช้คนไทยแสนน่ารักนี่แหละดูแลพวกเราจะได้สบายใจเรื่องข้อจำกัดทางภาษาไปได้เปราะหนึ่ง
ผมและทีมงานเองก็ใช้งานหรือร่วมงานเกาะๆแกะๆกับทาง Facebook มาก็ 7-8 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ใส่เงินโฆษณาวันละ 500 บาท แต่ยอดขายนั้นตั้งตัวได้เลยทีเดียว! ส่วนตอนนี้เป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่แต่มันก็เป็นธรรมดานะโลกธุรกิจ “อ่อนแอก็แพ้ไป”
การที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชม Facebook Office ครั้งนี้ก็ได้เดินทางไปในนามของทีมงาน Hiso Carshop Team ซึ่งเป็นน้องที่ร่วมงานกันมานานมาก สำหรับ Facebook แล้ว Hiso Carshop คือลูกค้าระดับ VIP (อันนี้ไม่ได้พูดเองนะ เจ้าหน้าที่เค้าบอกมา) และสำหรับที่นี่เราก็คือคนไทยจำนวนไม่มากที่ไปเยี่ยมเยียนเค้า
Office นี้ตั้งอยู่ที่ตึก Marina One ก็คือตั้งอยู่ในย่านที่คนไทยเรารู้จักกันดีนั่นแหละมองจากบนตึกก็เห็นจุดท่องเที่ยวเยอะแยะไปหมด ทั้ง Garden by the bay , Marina bay sand ฯลฯ ส่วนอยู่ชั้นอะไรก็จำไม่ได้ขึ้นๆลงๆจนลืม เพราะเมื่อเข้าไปแล้วเฉพาะตัว Facebook เองก็มีตั้งหลายชั้นอยู่ในนั้น ที่นี่มีครบทุกอย่างที่คนเราจะสามารถดำรงชีพอยู่ได้(เว่อร์) การรักษาความปลอดภัยก็สุดยอดไปเลย ติ๊ดแล้ว ติ๊ดอีก กว่าจะได้เข้าไป
ใกล้ถึงแล้ว เลี้ยวซ้ายตรงนี้แหละ
ก็ไม่รู้ว่าวันนี้แดดจะแรงไปไหน ก่อนจะถึงตึกไม่มีร่มนะยังไงก็ต้องเดินตากแดด
ด้านในโครงการเค้ามีหลายตึกนะ ออกแบบให้ตรงกลางมีต้นไม้เยอะ(สิงคโปร์ต้นไม้เยอะมาก) เข้ามาตรงนี้หายร้อนเลยล่ะ สิ่งที่เราต้องทำต่อคือเดินขึ้นไปที่โถงชั้น 3 เพื่อพบกับเจ้าหน้าที่ ที่จะพาเราขึ้นไปยัง Office แต่เรามาถึงก่อนเวลานัด นานพอสมควรเลยพากันลงไปเดินเล่นชั้นใต้ดิน ซึ่งมีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และ mini mart รอเวลา
เพลินดีนะ ดูพนักงานที่ทำงานอยู่ในโครงการนี้เค้าลงมาทานอาหารเพราะเป็นเวลาพักเที่ยงพอดี ข้างล่างนี้มันก็คือห้างสรรพสินค้าเลยล่ะ มีทุกอย่างมีการจัดเทศกาลขนมด้วยตั้งชื่ออย่างหรูว่า World Snack Fair แต่ดูเอาเองแล้วกันว่ายังไง?
เอาล่ะได้เวลานัดแล้วเดินขึ้นไปที่ชั้น 3 ก่อนดีกว่า
ต่อคิวขึ้นบันไดเลื่อนแป๊ป พนักงานเยอะมากที่เดินทางกลับจากทานอาหารเที่ยง
เราได้พบกับเจ้าหน้าที่สุดน่ารักทั้ง 2 คนแถวๆนี้ จัดการยื่นพาสปอตแล้วก็เซ็นชื่อพร้อมขึ้นไปกันละ
ก่อนเข้า Office ที่ชั้นบนทีมงานจากซ้ายไปขวา นิ่ม, ฟลุค, น้องเค้ก(จนท.), น้องมุก(จนท.) ผมเป็นคนถ่าย
ได้บัตรแล้วไปกันต่อ
น้องเค้ก พาเราเข้ามานิดนึงก็จะเห็นทางขวามือมีโต๊ะทำงานของพนักงานที่คอยดูแลหลายๆประเทศ (เห็นธงชาติไทยลิบๆ)
ที่นี่เราได้รับอนุญาติให้ภ่ายภาพได้นะ แต่ห้ามไปถ่ายหน้าจอคอมฯที่พนักงานเค้ากำลังทำงานกันอยู่นะจ๊ะ และก็เห็นที่จอดจักรยานเก๋ๆของพนักงาน จอดกันหน้าห้องทำงานแบบนี้เลย คนที่สิงคโปร์เค้าใช้จักรยานและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ากันบนฟุตบาธจริงจังมากนะ เค้าแยกเส้นทางไว้ให้สวยๆเหมือนแถวเลียบด่วนนั่นแหละ ถึงแม้อากาศจะร้อนไม่ต่างจากบ้านเราเค้าก็ใช้กันเยอะเลย เพราะถนนเค้าปลอดภัยกว่าบ้านเราเยอะมาก อยู่ที่นี่หลายวันไม่เห็นจะมี #มอเตอร์ไซค์วิ่งบนฟุตบาธ สักคันเดียว
นี่เป็นอีกอย่างที่เก๋ไก๋ดี ลักษณะเหมือนตู้กดน้ำหยอดเหรียญแต่เป็นตู้สำหรับพนักงานมาเบิกอุปกรณ์สำนักงานไปใช้ ในนี้มีทุกอย่างตั้งแต่กระดาษโน๊ตไปจนถึง คียบอร์ด ครั้งนี้น้องเค้กได้กดโปสการ์ดมาให้พวกเราคนละ 1 ใบ
บริเวณพักผ่อนส่วนหนึ่งของพนักงาน มีเครื่องดื่มทุกอย่าง รวมทั้งขนมและเครื่องเล่นเกมส์ (ทั้งหมดนี่ฟรี)
ผมเดินลงบันไดมา ก็มีที่ให้แวะอีกเค้าออกแบบมุมต่างๆไว้น่ารักดีนะ
เอาล่ะมาถึงตรงนี้ผมมีข้อสังเกตุอย่างหนึ่ง คือทุกมุมที่เราเดินไป เราไม่เห็นพนักงานมาใช้หรือดื่มกินอะไรเลยจ้า หรือจะมีก็น้อยมาก ผมตั้งคำถามในใจว่าทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก็คงเป็นเพราะทุกคนรู้หน้าที่ตัวเองและงานก็หนักไม่ใช่เล่นๆ ใครจะไปมีเวลาว่างมานั่งพักผ่อนทำกิจกรรมหรือเล่นเกมส์ได้หนักหนาล่ะ สมัยที่ยังทำงานในบริษัทญี่ปุ่น บอกเลยว่าสิ้นวันเหมือนสิ้นใจ และพอหลังเลิกงานก็คงจะมาจับกลุ่มพักผ่อนกันเองล่ะ
เดินชมไปพูดคุยกันไป เนื้อหาสาระของเราส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างการเดินนี่แหละ
อย่างที่บอกมุมพักผ่อนเยอะจริงๆ Office ใหญ่มากๆเลยนะ
น้องเค็กพาเราเดินลึกเข้าไป มันก็ยังเดินเข้าไปได้เรื่อยๆ ทุกมุมถูกออกแบบมาอย่างดี มีพื้นที่ให้ไม่ต้องเดินชนกันมาทำงานเหมือนมาเที่ยวเลย
บอร์ดข้อความที่ให้กำลังใจกับทีมงาน หรือปลุกใจนั่นล่ะ
ทาง Facebook เองแสดงถึงความเสมอภาคในสังคมของ LGBTQ ซึ่งเดี๋ยวนี้หลายๆองค์กรต้องหันมามองคนเหล่านี้จากทั่วโลก Happy Pride 🙂
ร้านกาแฟซึ่งมีความพิเศษตรงที่ Facebook เองให้ให้โอกาสแก่ผู้ที่มีรายได้น้อยหรือผู้ที่ขาดโอกาสได้มีงานทำได้อาชีพที่จะติดตัวไป ได้เป็นบาริสต้ากันจริงจังเลยนะเนี่ย
มุมถ่ายรูปมันเยอะ!
คุยกันไปก็ได้รู้อะไรมากขึ้นๆ มันก็เหมือนกับการไปต่อยอด ไปสร้างคอนเน็คชั่น และได้เห็นเบื้องหลังที่ Facebook ทำไว้เพื่อให้ลูกค้าหรือ User ได้มั่นใจว่าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สร้างคอนเท้นต์ดีๆล่ะก็คุณจะอยู่ไปได้อีกยาว
เซ็นชื่อสักหน่อย แต่เฮ้ย BNK48 คืออะไรวะฟลุค?
เดินลึกเข้ามาจนถึงด้านในและนี่คือวิวที่มองออกมาจาก Office สวยมั้ยล่ะ
เอาล่ะเดินมาถึงห้องประชุมสักที ห้องประชุมที่นี่แต่ละห้องจะมีชื่อเก๋ๆนะอย่างห้องนี้เป็นต้น ใครจะใช้ต้องมีการของล่วงหน้ากันก่อนคือเหมือนกับว่าหากคุณจะประชุมกันอย่างเป็นงานเป็นการจริงจังล่ะก็ เชิญมาคุยกันในห้องแต่ถ้าคุยกันสบายๆนอกรอบใน Office ก็มีพื้นที่เยอะแยะอยู่แล้วงัย
ดูจากจอจะเห็นว่าคนไทยเราใช้ Facebook เยอะขนาดไหน ลองเทียบกับจำนวนประชากร 70 ล้านคนสิ
แล้วมาเทียบกับญี่ปุ่นที่มีประชากร 100 ล้านคน หากเทียบตามสัดส่วนแล้วเค้าใช้ Facebook น้อยกว่าเรามากๆ เหตุผลเพราะอะไรไปคิดกันเอาเอง
จากข้อมูลจำนวน User ที่ได้ทราบมายังพบอีกว่า User ชาวไทยนี่แหละที่ใช้ Facebook ทำการค้าขายมากที่สุดในโลก แล้วคุณจะเป็นคนขายหรือเป็นคนซื้อดี? คิดว่าใครๆก็อยากจะเป็นคนขายล่ะมั้งอย่าลืมนะว่าจะอยู่ยาวๆคุณต้องมีคอนเท้นต์ที่ดี ไม่ใช่แหกปาก หยาบคาย ตลกลามก แก้ผ้า เรียกยอดวิวแล้วลูกค้าจะอยู่กับคุณไปตลอด หรือสินค้าหลายๆอย่างที่ใช้ความ มโน มาขายปัจจุบันนี้ทาง Facebook ได้ปิดเพจเหล่านั้นไปเยอะแล้วล่ะ
ถ่ายรูปอีก ถ่ายเข้าไป เค้ารู้ใจจริงๆว่าปัจจุบันคนเราชอบถ่ายรูป(ตัวเอง)มากขนาดไหน
ไป เราไปกันต่อที่ชั้นบน สังเกตุที่ขั้นบันไดจะมีตัวเลขบอกไว้ว่าแต่ละก้าวคุณใช้แคลเลอรี่ไปเท่าไร
ข้างบนเป็นโรงอาหารของพนักงานจ้า ที่นี่พนักงานทุกคนกินอาหารฟรีทั้ง 3 มื้อเลยนะ รวมทั้งเครื่องดื่มด้วยไม่ใช่แค่น้ำเปล่านะ คือน้ำสารพัดน้ำที่จะนึกได้ที่นี่มีหมด และในตอนเย็นๆก็จะมีเบียรด้วยล่ะ เท่าที่เป็นมี ไฮเนเก้น กับ ไทเกอร์ มากันเป็นถังๆจ่ะ สะอาดเรียบร้อยบรรยากาศคล้าย Food court ของ IKEA เลยแต่ใหญ่กว่า
วิวจากหน้าต่างโรงอาหารพนักงานนะเนี่ย
นั่งคุยกันต่อแต่ช่วงหลังๆกลายเป็นว่าทางเราสัมภาษณ์น้องซะเองว่าไปยังไง มายังไงถึงได้มาทำงานกับ Facebook ได้ พอได้ทราบมาก็โอ้โหน้องมีประวัติการศึกษาที่ไม่ธรรมดาแถมยังโลกกลมเป็นเพื่อนกับ Idol คนหนึ่งที่ผมชอบมากๆซะด้วย(IG มีคนติดตาม 3.8M) ก็เลยคุยกันยาวหน่อย คนรุ่นใหม่เก่งๆเยอะ แล้วเก่งแบบไม่ธรรมดา บอกลูกบอกหลานให้ตั้งใจเรียนหนังสือโตมาจะได้ไม่ลำบาก คำนี้ยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้เชื่อเถอะ
ถึงเวลาต้องบอกลาน้องมุกได้เตรียมของที่ระลึกไว้ให้มีตั้งหลายชิ้นยัดมาจนถุงเป่ง ก็มอบกันตรงนี้แหละ ข้างหลังนั่นเจ้าหน้าที่กำลังเติมเครื่องดื่มใส่ตู้แช่สำหรับพนักงาน จากนี้ก็ชมรูประหว่างทางเดินกลับไปข้างล่างแล้วกันนะ
ก็จบไปสำหรับการมา Facebook Office ครั้งนี้รายละเอียดของการพูดคุยกันก็คงจะบรรยายไม่หมดเพราะใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ที่แน่ๆเมื่อกลับไปเมืองไทยก็รู้แล้วว่าทิศทางของการทำงานต่อไปควรจะเป็นไปอย่างไร คนไทยเก่งนะทำมาค้าขายกับ Facebook เดือนๆนึงมียอดขายหลายร้อยล้านก็มี สินค้าทั่วๆไปนี่แหละ แต่กลยุทธและวิธีการทำโฆษณาทุกอย่างมันก็อยู่ในคำแนะนำที่ Facebook มีไว้อยู่แล้ว(แต่คิดจะอ่านกันรึเปล่าเท่านั้นแหละ) หัวใจของการทำเงินนอกจากจะต้องมีสินค้าหรือบริการที่ดีแล้ว การนำเสนอต่างหากที่ผมมองว่าสำคัญมาก ไม่ใช่แค่การซื้อโฆษณา!
หากมีสินค้าดี แล้วจ้างคนมาสอนยิงโฆษณา แต่การนำเสนอของคุณห่วยล่ะ?
หากสินค้าห่วยแล้วนำเสนอดี ลูกค้าก็หลงเชื่อครั้งเดียวแล้วจะซื้อซ้ำหรือ?
ทุกอย่างต้องไปด้วยกันทั้งระบบมันไม่มีหรอกทางลัด ทางด่วน ขายเร็ว ขายดี มีคนมาสอนแล้วสำเร็จบลาๆๆๆ ผมพบเจอผู้คนที่เก่งกาจด้านการทำ Facebook มาเยอะนะคนที่เก่งมากๆสามารถทำรายได้เดือนๆหนึ่งเป็นล้านๆบาท เค้าเหล่านี้ยุ่งมากนะไม่มีเวลามาสอนคนอื่นหรอก บางคนมีออเดอร์ 300- 500 ออเดอร์ต่อวัน ลองคิดย้อนกลับไปหากวันนี้คุณทำสำเร็จแบบเค้าเหล่านี้คุณพอใจรึยัง? ก็แล้วแต่นะ! ตัวคุณเองนั่นแหละคือส่วนสำคัญที่จะทำมันให้สำเร็จได้อย่าหวังพึ่งแต่ทางลัด หาความรู้เยอะๆจากหลายๆทาง (ที่เล่ามานี่ไม่ใช่ผมนะ ผมยังทำไม่ได้ขนาดนั้น)
ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไปครั้งนี้
นิ่ม ฟลุค เค็ก มุก ขอบคุณมากๆครับ
ภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Sony A6500, Sony 18-105 G